star

ระบบโลก

โลกเป็นดาวเคราะห์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา (Dynamic Planet) ในอดีตนักวิทยาศาสตร์ศึกษาโลกแบบแยกส่วน นักธรณีวิทยาศึกษาเปลือกโลกที่เป็นของแข็ง นักสมุทรศาสตร์ศึกษาทะเลและมหาสมุทร นักอุตุนิยมวิทยาศึกษาบรรยากาศ นักชีววิทยาศึกษาสิ่งมีชีวิต ขณะที่นักดาราศาสตร์ศึกษาดาวบนท้องฟ้า แต่เมื่อเกิดปรากฏการณ์เช่น เอลนีโญ ซึ่งเป็นปรากการณ์ที่เกี่ยวเนื่องทั้งแผ่นดิน มหาสมุทร บรรยากาศ สิ่งมีชีวิต และพลังงานจากดวงอาทิตย์​ ก็ไม่มีใครหาคำตอบได้ จนกระทั่งไม่กี่ทศวรรษมานี้เอง นักวิทยาศาสตร์ตระหนักได้ว่า การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของโลกจะต้องมองโลกให้เป็นระบบ (ภาพที่ 1) อย่างไรก็ตามในการเขียนตำราเรียนจำต้องเรียงแบบอนุกรม นำเสนอโลกทีละภาคส่วน ดังนี้

joker123

ธรณีภาค (Lithosphere) เปลือกโลกในส่วนที่เป็นของแข็ง
อุทกภาค (Hydrosphere) น้ำที่ห่อหุ้มโลก
อากาศ​ภาค (Atmoshere) บรรยากาศที่ห้อหุ้มโลก
ชีวภาค (Biosphere) สิ่งมีชีวิตบนพื้นผิวโลกทั้งบนบกและในมหาสมุทร
การเปลี่ยนแปลงสภาวะของโลก (Global Change) การปรับสมดุลพลังงานของโลก

เนื่องจากโลกมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา มีทั้งเปลี่ยนแปลงเป็นคาบเวลาระยะสั้นและระยะยาว การทำความเข้าใจโลก จึงเป็นต้องศึกษากำเนิดโลก

โลกประกอบด้วย 4 ส่วนใหญ่ๆ ดังนี้

1.ธรณีภาค (Lithosphere) คือ ส่วนที่เป็นดิน หิน แร่ ที่เป็นส่วนประกอบของเปลือกโลกและเนื้อโลกส่วนบน

2.อุทกภาค (Hydrosphere) คือ ส่วนที่เป็นน้ำ ทั้งน้ำทะเล ทะเลสาบ และแม่น้ำ

3.บรรยากาศ (Atmosphere) คือ ส่วนที่เป็นอากาศห่อหุ้มโลก

4.ชีวภาค (Biosphere) คือ ส่วนที่เป็นสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

สล็อต

ส่วนประกอบของโลกทั้งสี่ระบบนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เช่น บรรยากาศประกอบด้วยแก๊สต่างๆ ที่เป็นปัจจัยหนึ่งในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต โดยแก๊สออกซิเจนถูกใช้ในการหายใจ ส่วนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ใช้ในการสร้างอาหารของพืช และพืชก็เป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารเองไม่ได้ บรรยากาศยังช่วยป้องกันรังสีที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ ทำให้สิ่งมีชีวิตในระบบชีวภาพสามารถดำรงชีพอยู่ได้ นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานระหว่างระบบบรรยากาศ ระบบธรณีภาค และระบบอุทกภาค ทำให้เกิดสภาวะลมฟ้าอากาศที่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาคของโลก ส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปร่างลักษณะของเปลือกโลก

โลกได้ก่อกำเนิดขึ้นมาเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีก่อน โลกในยุคแรก ๆ นั้นเป็นของเหลวหนืดร้อน ถูกกระหน่ำชนด้วยอุกกาบาตตลอดเวลา เมื่อโลกค่อย ๆ เย็นตัวลง จะเกิดการผนึกรวมกันของวัสดุประกอบโลก โดยวัสดุน้ำหนักสูงจะจมลงสู่ศูนย์กลาง และวัสดุน้ำหนักเบาจะลอยตัวขึ้นสูงสู่ผิวโลก เกิดเป็นชั้นต่าง ๆ ของโลก

นักวิทยาศาสตร์แบ่งชั้นโลกออกเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ ดังนี้

เปลือกโลก ( Crust ) เป็นชั้นนอกสุดของโลกที่มีความหนาประมาณ 0 – 70 กิโลเมตร ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่บางที่สุดเมื่อเปรียบกับชั้นอื่น ๆ เสมือนเปลือกไข่ไก่หรือเปลือกหัวหอม มีหน้าที่ห่อหุ้มพลังงานความร้อนของโลก และมีความสำคัญมากที่สุดเนื่องจากมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่

สล็อตออนไลน์

โครงสร้างของเปลือกโลก 2 แบบ คือเปลือกโลกส่วนทวีป ( Continental Crust ) และเปลือกโลกส่วนมหาสมุทร ( Oceanic Crust ) เปลือกโลกส่วนที่บางที่สุดคือส่วนที่อยู่ใต้มหาสมุทร ส่วนเปลือกโลกที่หนาที่สุดคือเปลือกโลกส่วนที่รองรับทวีปที่มีเทือกเขาที่สูงที่สุดอยู่ด้วย

นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาความแตกต่างเฉพาะของเปลือกโลก และแบ่งเปลือกโลกออกเป็น 2 ชั้น ตามลำดับจากผิวโลกดังนี้

เปลือกโลกชั้นบน ( Outer Crust ) ส่วนใหญ่เป็นหินไซอัล ( Sial ) ซึ่งเป็นหินแกรนิตของเปลือกโลกส่วนที่เป็นทวีป หินไซอัล ประกอบด้วยซิลิกา ( Silica ) และ อะลูมินา ( Alumina ) เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งคำว่า Sial ( Si-al ) มาจากอักษรสองตัวแรกที่เป็นชื่อของสารประกอบทั้งสองนั่นเอง

เปลือกโลกชั้นล่าง ( Inner Crust ) องค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นหินไซมา ( Sima ) ซึ่งเป็นหิน บะซอลล์ของเปลือกโลกส่วนที่เป็นท้องมหาสมุทร และอยู่ด้านล่างของหินไซอัล หินไซมาประกอบด้วยซิลิกา ( Silica ) และ แมกนีเซีย (Magnesia)

เนื้อโลก ( Mantle ) เป็นส่วนที่อยู่ถัดลงไปจากเปลือกโลก มีความหนาประมาณ 2,900 กิโลเมตร นับจากฐานล่างสุดของเปลือกโลกจนถึงตอนบนของแก่นโลก แบ่งออกเป็น 3 ชั้นคือ

jumboslot

2.1 ชั้นเนื้อโลกส่วนบน เป็นหินที่เย็นตัวแล้วและบางส่วนมีรอยแตกเนื่องจากความ เปราะ ชั้นเนื้อโลกส่วนบนกับชั้นเปลือกโลก รวมตัวกันเรียกว่า “ธรณีภาค” ( Lithosphere ) ซึ่งมาจากรากศัพท์ภาษากรีก แปลว่าชั้นหิน ชั้นธรณีภาคมีความหนาประมาณ 100 กิโลเมตรนับจากผิวโลกลงไป

2.2 ชั้นฐานธรณีภาค ( Asthenosphere ) ชั้นเนื้อโลกถัดลงไปที่ความลึก 100 – 700 กิโลเมตร เป็นชั้นที่มีอุณหภูมิสูงมากทำให้แร่บางส่วนหลอมละลายเป็นหินหนืด ( Magma ) ที่ประกอบด้วยธาตุซิลิกอน เหล็ก และอลูมิเนียม เคลื่อนที่หมุนวนอยู่ภายในโลกอย่างช้า ๆ ด้วยการพาความร้อน ( Convection )

2.3 ชั้นเนื้อโลกส่วนล่าง ( Lower Mantle ) เป็นชั้นล่างสุดอยู่ที่ความลึกตั้งแต่ 700 – 2,900 กิโลเมตร เป็นชั้นที่เป็นของแข็งร้อนแน่นและหนืดกว่าตอนบน มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นเหล็ก แมกนีเซียม และซิลิเกท อุณหภูมิสูงตั้งแต่ประมาณ 2,250 – 4,500 องศาเซลเซียส

ชั้นแก่นโลก ( Core ) เป็นส่วนที่อยู่ลึกที่สุด มีความหนาประมาณ 3,440 กิโลเมตร แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ

3.1 แก่นโลกชั้นนอก ( Outer Core ) มีลักษณะเป็นของเหลวร้อน อุณหภูมิสูงมาก ประมาณ 4,300 – 6,200 องศาเซลเซียส มีความหนาจากผิวโลกประมาณ 2,900 – 5,000 กิโลเมตร ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิกเกิลในสภาพที่หลอมละลาย

3.2 แก่นโลกชั้นใน ( Inner Core ) อยู่ถัดจากแก่นโลกชั้นนอกจนถึงจุดศูนย์กลางโลก มีอุณหภูมิประมาณ 6,200 – 6,400 องศาเซลเซียส และมีความกดดันมหาศาล ทำให้ส่วนนี้จึงมีสถานะเป็นของแข็ง ประกอบด้วยธาตุเหล็กและนิกเกิลที่อยู่ในสภาพที่เป็นของแข็ง

slot

ระบบต่าง ๆ บนโลก ประกอบด้วย ธรณีภาค ( lithosphere ) ได้แก่ ส่วนที่เป็น ดิน หิน แร่ อุทกภาค ( hydrosphere ) ได้แก่ส่วนที่เป็นน้ำ ชีวภาค ( biosphere ) ได้แก่ส่วนที่เป็นสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ และ บรรยากาศ ( atmosphere ) ได้แก่ ส่วนที่เป็นอากาศ ระบบทั้งสี่มีความสัมพันธ์กันซึ่งกันและกัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ถ้าระบบใดระบบหนึ่งเสียสมดุลไปจะส่งผลกระทบต่อระบบอื่น ๆ เช่น หากมนุษย์บุรุกทำลายป่า ใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ในธรรมชาติอย่างฟุ่มเฟือย ไม่รู้จักวิธีหรือขาดจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทิ้งของเสียสิ่งปฏิกูลต่าง ๆ กลับคืนสู่ธรรมชาติ โดยขาดการบำบัดหรือไม่มีการปฏิบัติที่ดีในการลดการใช้พลาสติกหรือขยะอื่น ๆ อันจะกลายเป็นขยะที่ย่อยสลายได้ยาก ก็จะทำให้ส่วนชีวภาคเสียสมดุล เมื่อขาดป่าไม้อันเป็นแหล่งต้นน้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าและสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ และเป็นต้นกำเนิดของวัฏจักรที่สำคัญต่าง ๆ ในระบบนิเวศ ก็จะส่งผลต่อธรณีภาค อุทกภาค และบรรยากาศ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ ( Climate Change ) ส่งผลให้เกิดภัยแล้งที่รุนแรง อุทกภัยไปจนถึงพายุหิมะที่พัดถล่มเมือง ความถี่ของภัยธรรมชาติที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ มนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ได้รับผลกระทบ อุณหภูมิของมหาสมุทรที่สูงขึ้นทำให้เกิดการฟอกขาวของปะการัง อากาศที่แห้งแล้งในหลายพื้นที่ทำให้การฟื้นฟูของสภาพป่าหลังจากเกิดเพลิงไหม้เป็นเรื่องยากขึ้น สัตว์ป่าขาดที่อยู่อาศัยรวมไปถึงสภาพแวดล้อมไม่เอื้ออำนวยต่อการดำรงชีวิตอีกต่อไป

ดังนั้นการเรียนรู้เรื่องโครงสร้างและระบบต่าง ๆ ของโลกจะทำให้นักเรียนเข้าใจและตระหนักถึงวิธีการว่าจะต้องทำอย่างไร เราจึงจะอยู่ในโลกใบนี้อย่างสันติสุขและเก็บรักษามันไว้เพื่อให้รุ่นลูกรุ่นหลานของเรายังมีโลกที่น่าอยู่ใบนี้ต่อไป