
ประวัติศาสตร์ของจรวด
จรวดที่ขับเคลื่อนด้วยพลังจากดินปืนลำแรกถูกพัฒนาขึ้นในประเทศจีนยุคกลางภายใต้การปกครองของราชวงศ์ซ่ง (Song dynasty) ในศตวรรษที่ 13 ชาวมองโกลได้รับเอาเทคโนโลยีจรวดของจีนและการแพร่กระจายเทคโนโลยีจรวดนี้ผ่านการรุกรานของชาวมองโกล (Mongol invasions) ไปยังตะวันออกกลางและยุโรปในช่วงกลางศตวรรษที่ 13 [3] ด้วยความที่หาได้ง่ายของดินดำ (ดินปืน) ได้ถูกนำมาใช้ขับดันกระสุนยิงอันเป็นพัฒนาการยุคเริ่มแรกของจรวดเชื้อเพลิงแข็ง
วิทยาการจรวดเริ่มขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 9 มีการคิดค้นดินปืนโดยนักพรตชาวจีนในลัทธิเต๋าซึ่งได้ค้นพบผงสีดำในขณะที่กำลังทำการค้นหาตัวยาสำหรับการทำชีวิตให้เป็นอมตะ การค้นพบโดยบังเอิญนี้ได้นำไปสู่การทดลองทำเป็นอาวุธเช่น ระเบิด, ปืนใหญ่, ธนูไฟ สำหรับการก่อความไม่สงบและจรวดขับเคลื่อนธนูไฟ [nb 1][nb 2] การค้นพบดินปืนอาจเป็นผลผลิตแห่งศตวรรษของการทดลองเล่นแร่แปรธาตุในลัทธิเต๋าซึ่งนักเล่นแร่แปรธาตุได้พยายามที่จะสร้างยาอายุวัฒนะ (panacea)แห่งความเป็นอมตะที่จะช่วยให้คนที่กินมันจะกลายเป็นอมตะทางร่างกาย [6]
เป็นเวลาพอดิบพอดีเมื่อมีเที่ยวบินแรกของจรวดเกิดขึ้นคือเกิดการประกวดประชันแข่งขันกัน ปัญหาคือว่าลูกธนูไฟของชาวจีนสามารถเป็นลูกธนูทั้งที่มีวัตถุระเบิดที่แนบมาหรือลูกธนูที่ขับเคลื่อนโดยดินปืนกันแน่ มีรายงานของธนูไฟและ’หม้อเหล็ก’ซึ่งอาจจะได้ยินเป็นระยะทางไกลได้ถึง 5 ลี้ (25 กิโลเมตรหรือ 15 ไมล์)
เมื่อมีการระเบิดขณะเกิดปะทะกัน, ก่อให้เกิดการทำลายล้างรัศมี 600 เมตร (2,000 ฟุต), อย่างเด่นชัดเนื่องจากเศษกระสุน [7] ได้มีการอ้างสิทธิการวิจัยร่วมกันคือบันทึกแรกที่ใช้จรวดในการสู้รบโดยชาวจีนในปี 1232 กับกองทัพมองโกลที่ไคเฟงฟู (Kai Feng Fu) อย่างไรก็ตาม ขนาดที่ลดลงมาของหม้อเหล็กอาจถูกใช้เป็นวิธีสำหรับกองทัพเพื่อล้อมยิงผู้รุกราน ข้อมูลอ้างอิงทางวิชาการ กล่าวว่าในปี ค.ศ. 998 ชายคนหนึ่งชื่อ ถัง ฟู่ (Tang Fu) ได้คิดค้นลูกธนูไฟชนิดใหม่ที่มีหัวเหล็ก ธนูไฟ คือธนูที่แนบติดกับวัตถุระเบิดหรือธนูที่ขับดันโดยดินปืนอย่างใดอย่างหนึ่งดังเช่นอาวุธ ฮวาชา (Hwacha) ของเกาหลี [nb 3]
จรวดขับเคลื่อนด้วยพลังดินปืนได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยราชวงศ์ซ่งของประเทศจีนในยุคกลางในคริสต์ศตวรรษที่ 13 เทคโนโลยีจรวดของจีนได้รับการยอมรับโดยชาวมองโกลและสิ่งประดิษฐ์นี้ได้แพร่ขยายออกไปโดยการรุกรานของมองโกล (Mongol invasions) ไปยังตะวันออกกลางและยุโรปในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 13 [9]
จรวดถูกบันทึกไว้ว่าถูกใช้ในกองทัพเรือของราชวงศ์ซ่ง (Song navy) ในการฝึกซ้อมของทหารซึ่งระบุปี ค.ศ. 1245 การขับเคลื่อนจรวดแบบสันดาปภายในถูกกล่าวถึงในเอกสารอ้างอิงในปี ค.ศ. 1264 ซึ่งบันทึกว่า ‘ground-rat’ ซึ่งเป็นดอกไม้ไฟชนิดหนึ่ง ได้ทำให้จักรพรรดินี “Gongsheng” (Empress-Mother Gongsheng) รู้สึกตกใจในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่พระนางโดยลูกชายของพระนางเองคือจักรพรรดิซ่งลี่จง (Emperor Lizong) [10] ต่อมา, จรวดถูกรวมอยู่ในตำราทางทหารที่ชื่อว่า Huolongjing หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า Fire Drake Manual ซึ่งเขียนขึ้นโดยเจ้าหน้าที่เหล่าทหารปืนใหญ่ของจีนชื่อ Jiao Yu ในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 ข้อความนี้กล่าวถึงจรวดแบบหลายตอนที่รู้จักกันเป็นครั้งแรกว่า ‘มังกรไฟที่ไหลออกจากน้ำ’ (huo long chu shui) ซึ่งถูกใช้โดยกองทัพเรือจีน [11]
จรวดสมัยใหม่ในยุคกลางและยุคต้นถูกใช้เป็นอาวุธเพลิง (Incendiary weapon) ในทางการทหารในการล้อมเมือง (siege)
การแพร่ขยายของเทคโนโลยีจรวด
เทศกาลริวเซอิ ที่หมู่บ้านโยชิดะ เมืองชิชิบุ จังหวัดไซตะมะ ญี่ปุ่น
เทคโนโลยีจรวดกลายเป็นที่รู้จักกันเป็นครั้งแรกในชาวยุโรปโดยกษัตริย์มองโกล เจงกิสข่าน (Mongols Genghis Khan) และโอกีไดข่าน (Ögedei Khan) เมื่อครั้งที่สามารถพิชิตดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย ทางด้านตะวันออก และศูนย์กลางยุโรป ชาวมองโกลได้รับเทคโนโลยีมาจากชาวจีนโดยการมีชัยชนะในทางภาคเหนือของประเทศจีนและโดยการได้รับการว่าจ้างของผู้เชี่ยวชาญด้านจรวดชาวจีนที่เป็นทหารรับจ้างต่อกองทัพมองโกล รายงานจากการต่อสู้ของโมฮิ (Mohi) ในปี 1241 อธิบายถึงการใช้อาวุธจรวดโดย ทหารมองโกล ต่อ พวกแม็กยาร์ (Magyars) [7] เทคโนโลยีจรวดยังแพร่กระจายไปยังประเทศเกาหลีกับศตวรรษที่ 15 “กงล้อฮวาชา” (hwacha) ที่จะปล่อยจรวด “ซิงกิเจียน” (singijeon) นอกจากนี้การแพร่กระจายของเทคโนโลยีจรวดยังได้แพร่เข้ามาในยุโรปที่ได้รับอิทธิพลโดยจักรวรรดิออตโตมัน (Ottomans) ในการบุกโจมตีกรุงคอนสแตนติโนเปิล (Constantinople) ใน ปี 1453 แม้ว่าจะมีโอกาสมากที่พวกออตโตมันเองได้รับอิทธิพลโดยการรุกรานของมองโกลก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่ศตวรรษ ประวัติศาสตร์ของจรวดนั้นได้ถูกเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต
นาซา (NASA) กล่าวว่า “จรวดได้ปรากฏอยู่ในวรรณคดีอาหรับใน ค. ศ. 1258 บรรยายถึงการรุกรานของพวกมองโกลในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ในการเข้ายึดครองกรุงแบกแดด” [7] ระหว่างปี 1270 และ 1280, ฮาซาน อัล-รามมาห์ (Hasan al – Rammah) เขียน al – furusiyyah wa al – manasib al – harbiyya (หนังสือเรื่อง ความชำนาญในการขี่ม้าของทหารและอุปกรณ์สงครามอันแยบยล) ซึ่งรวมถึง 107 สูตรดินปืน, 22 ชนิดที่มีสำหรับจรวด [12] ตามที่อาห์หมัด ฮัสซัน (Ahmad Y Hassan) กล่าวอ้าง, สูตรของ อัล-รามมาห์ เป็นมากกว่าวัตถุระเบิดที่เป็นจรวดที่ใช้ในประเทศจีนในเวลานั้น [13][แหล่งอ้างอิงอาจไม่น่าเชื่อถือ] คำศัพท์ที่ใช้โดย อัล รามมาห์ ที่ระบุไว้ว่าประเทศจีนเป็นแหล่งกำเนิดของอาวุธดินปืน เขาได้เขียนเกี่ยวกับ เช่น จรวดและหอกไฟ [14] อิบัน อัล เบทาร์ (Ibn al-Baytar),ชาวอาหรับมาจากสเปนที่ได้อพยพไปยังอียิปต์, ได้ให้ชื่อเรื่องว่า “หิมะของจีน” (อาหรับ (Arabic) : ثلج الصين thalj al-Sin) เพื่ออธิบายถึงดินประสิว อัล เบทาร์ เสียชีวิตในปี 1248 [15][16] นักประวัติศาสตร์อาหรับก่อนหน้านี้เรียกดินประสิวว่า “หิมะจีน” และ “เกลือจีน” [17][18] นอกจากนี้ชาวอาหรับยังใช้ชื่อ “ลูกศรจีน” ในการอ้างถึงจรวด ชาวอาหรับที่ติดต่อกับ “ชาวจีน” ได้มีชื่อเรียกต่าง ๆ สำหรับวัตถุที่เกี่ยวข้องกับดินปืน “ดอกไม้จีน” เป็นชื่อสำหรับดอกไม้ไฟ, ในขณะที่ “หิมะจีน” ถูกกำหนดให้เป็นชื่อของดินประสิวและ “ลูกศรจีน” เป็นชื่อของจรวด [26] ในขณะที่ดินประสิวถูกเรียกว่า “หิมะจีน” โดยชาวอาหรับ, มันถูกเรียกว่า “เกลือจีน” โดยชาวอิหร่าน /ชาวเปอร์เซีย [27][28] [29][30][31]
จรวดได้ชื่อมาจากภาษาอิตาเลียน (Italian) Rocchetta (ตัวอย่างเช่น เจ้าฟิวส์น้อย (little fuse)), เป็นชื่อของพลุขนาดเล็กที่สร้างขึ้นโดยมูแรทโทรี (Muratori) ผู้ชำนาญงานชาวอิตาลีในปี 1379 [32]
คำว่า จรวด มาจากคำภาษาอิตาเลียน rocchetta , หมายถึง “กระสวย” หรือ “เดือยหมุนเล็ก ๆ “, [33] เพราะความคล้ายคลึงกันในรูปร่างที่เหมือนกับกระสวยหรือหลอดด้ายใช้สำหรับจับยึดเส้นด้ายเพื่อป้อนเส้นด้ายเข้าสู่กงล้อปั่นด้าย

